มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
เป็นมะเร็งที่มักเกิดในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน พบสูงในช่วงอายุ 50-60 ปี แต่ก็อาจพบได้ในช่วงอายุอื่นๆ
อุบัติการณ์ในประเทศที่พัฒนาแล้วจะสูงกว่าในประเทศที่กำลังพัฒนา
สาเหตุที่แน่นอนของการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกยังไม่ทราบแต่พบปัจจัยเสี่ยงได้ดังนี้
1. การที่ร่างกายได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง
อาจโดยภาวะที่ร่างกายผลิตขึ้นเอง
หรือจากใช้ยาฮอร์โมนประเภทนี้ในปริมาณสูงติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ
เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สูงกว่า
2. ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนช้า
เพราะเป็นกลุ่มที่ร่างกายมีฮอร์โมนเอส โตรเจนสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงกว่า
3. ผู้หญิงกลุ่มไม่มีบุตร
หรือมีบุตรน้อยเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงกว่า
4. ผู้หญิงอ้วนเป็นความดันและเบาหวานเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงกว่า
การตรวจคัดกรองมะเร็งเยื่อโพรงมดลูก
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ
อาการและอาการแสดงที่เฉพาะของโรคมะเร็งไม่มี
แต่จะเป็นอาการของความ ผิดปกติที่คล้ายคลึงกับโรคทางระบบสูติ-นรีเวชทั่วๆไป ได้แก่
1. มีเลือดออกทางช่องคลอดภายหลังที่หมดประจำเดือนไปแล้ว
2. ประจำเดือนมาผิดปกติ เช่น มากะปริบกะปรอย
หรือปริมาณมาก หรือจำนวนวันที่มีประจำเดือนมาก
3. ตกขาว
4. อาจมีอาการปวดท้องน้อย
ปัสสาวะขัด
5. อาจคลำได้ก้อนในท้องน้อย
ซึ่งมักเกิดจากการที่มดลูกมีขนาดโตขึ้น
การตรวจเพื่อการวินิจฉัยและหาระยะโรค
โดยทั่วไปแพทย์จะตรวจดังนี้
•ซักประวัติ อาการ อาการแสดง
และตรวจร่างกายทั่วไปและตรวจภายใน
•ถ้าสงสัยแพทย์จะทำการขูดมดลูกเอาชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา
เมื่อผลทางพยาธิวิทยา ระบุว่าเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
แพทย์จะตรวจ เพิ่มเติมเพื่อประเมินสุขภาพและหาระยะของโรคโดย
•ตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการและตรวจปัสสาวะ
•ตรวจภาพเอกซเรย์ปอด
ในบางครั้ง ถ้ามีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์อาจมีการตรวจเพิ่มเติม
ซึ่งจะต่างกันในผู้ป่วยแต่ละรายไม่เหมือนกัน
ระยะของโรค
มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกแบ่งเป็น 4 ระยะได้แก่
ระยะที่ 1 โรคยังอยู่ในโพรงมดลูกแต่อาจมีการลุกลามเข้าชั้นกล้ามเนื้อ
ระยะที่ 2 โรคลุกลามเข้าปากมดลูก
ระยะที่ 3 โรคลุกลามอกนอกมดลูก
ระยะที่ 4 โรคลุกลามเข้ากระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ใหญ่หรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะที่อยู่ไกลออกไปเช่น
ปอด เป็นต้น
ความรุนแรงของโรคขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างได้แก่
1. ระยะของโรคระยะสูงขึ้น ความรุนแรงของโรคก็สูงขึ้น
2. การลุกลามของเซลล์มะเร็งเข้าชั้นกล้ามเนื้อ
3. ชนิดของเซลล์มะเร็ง
4. ขนาดของก้อนมะเร็ง
5. การลุกลามไปต่อม
6. อายุ ผู้ป่วยอายุมากกว่า 65 ปี มักมีความรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยอายุน้อยกว่า
7. สุขภาพโดยทั่วไปของร่างกายและโรคร่วมอื่นๆ
ซึ่งถ้าร่างกายไม่สมบูรณ์ จะเป็นอุปสรรคต่อการรักษา
การรักษามะเร็งชนิดนี้มี 4 วิธี คือ การผ่าตัด รังสีรักษา
เคมีบำบัดและฮอร์โมน
การผ่าตัด
เป็นการรักษาหลักได้แก่ การผ่าตัดเอามดลูก ปีกมดลูก และรังไข่ออก
และภายหลังการผ่าตัดจะมีการตรวจชิ้นเนื้อต่างๆ ทางพยาธิวิทยาอีกครั้ง
เพื่อเป็นข้อบ่งชี้ว่าควรจะมีการรักษาร่วมอื่นๆ เช่น
รังสีรักษา หรือเคมีบำบัด หรือฮอร์โมนร่วมด้วยหรือไม่
รังสีรักษา อาจใช้ร่วมกับการผ่าตัดแต่บางครั้งถ้าผ่าตัดไม่ได้ก็อาจใช้เพียงรังสีรักษา
รังสีอาจใช้ร่วมกับเคมีบำบัด หรือ ฮอร์โมนตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ รังสีการ แพทย์
มีทั้งการฉายรังสีและการใส่แร่ ซึ่งอาจใช้เพียงวิธีการเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือทั้ง 2 วิธีการร่วมกัน ทั้งนี้ขึ้นกับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ของผู้ป่วยแต่ละราย
เคมีบำบัด มักใช้ในโรคระยะลุกลาม
มักใช้ร่วมกับการผ่าตัด หรือ รังสีรักษา ฮอร์โมน
มักใช้ในผู้ป่วยที่โรคลุกลามแต่มีผู้ป่วยส่วนน้อยที่การรักษาได้ผลด้วยวิธีนี้
ภายหลังการรักษาครบแล้ว แพทย์จะนัดตรวจดูแลรักษาผู้ป่วยต่อเนื่องเสมอ
โดยมักนัดทุก 1-2 เดือน ในปีแรกหลังการรักษาในปีที่ 2-3 อาจนัดตรวจทุก 2-3 เดือน
ในปีที่ 3-5 มักนัดตรวจทุก 3-6 เดือน และภายหลัง 5 ปีไปแล้วมักนัดทุก 6-12 เดือน
ในการมาตรวจกับแพทย์ควรนำญาติสายตรงหรือผู้ดูแลมาด้วย
เพื่อร่วมปรึกษาพูดคุยกับแพทย์โดยตรง และควรนำยาหรือผลตรวจต่างๆ จากแพทย์ท่านอื่น
(ถ้ามีแพทย์ดูแล หลายคน)
มาแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
ติดต่อสอบถาม 085-9083178 วราพร
ดูข้อมูล http://pannfitleadyx.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น