แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรคมะเร็ง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรคมะเร็ง แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ประโยชน์ว่านชักมดลูกและวิธีการใช้





ว่านชักมดลูกของไทย ตามบันทึกในตำรับยาแผนโบราณได้กล่าวไว้ว่าว่านชักมดลูกมีคุณประโยชน์และให้ความปลอดภัยในการใช้สำหรับผู้หญิงมากกว่ากวาวเครือ เพราะว่านชักมดลูกมีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ เสริมหน้าอก ทำให้ผิวพรรณขาวนวล ลบรอยเหี่ยวย่นได้ แต่ ว่านชักมดลูกมีคุณสมบัติที่พิเศษกว่า กราวเครือคือ ช่วยรักษามดลูกที่ทรุดตัว หรือเรียกว่ามดลูกต่ำให้เข้าที่ นอกจากนี้ยังช่วยกระชับช่องคลอด กระชับหน้าท้องที่หย่อนยานอันเกิดจากการคลอดบุตร ทำให้หน้าท้องตึงเรียบเหมือนสาว ๆ และยังช่วยให้ผู้หญิงที่อารมณ์ทางเพศหายไป กลับมามีเหมือนเดิม ว่านชักมดลูกยังช่วยให้ผู้หญิงที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว จิตใจห่อเหี่ยว อ่อนไหวง่าย โกรธง่ายหายไป ทำให้คึกคักเข้มแข็งขึ้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันมะเร็งปากช่องคลอด หรือภายในมดลูก ช่วยรักษาซีสต์ และเนื้องอกภายในช่องคลอดให้ฝ่อตัว หรือเล็กลงด้วย นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการปวดประจำเดือนอย่างได้ผลชะงัก เพราะฉะนั้นหากจะเทียบกันแล้ว ว่านชักมดลูกจึงมีประโยชน์เหนือกว่ากราวเครือมาก
แต่ทั้งนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า

การใช้ว่านชักมดลูก เพียงอย่างเดียวจะให้สรรพคุณได้ไม่มากเท่าที่ควร ตามตำรายาโบราณได้ระบุถึงการนำสมุนไพรมาใช้งานว่า ต้องปรุงขึ้นตามสูตรยานั้น ๆ และจำเป็นต้องอาศัยสมุนไพรอีกหลายชนิดผสมเข้าไป จึงจะช่วยให้ออกฤทธิ์และได้ผลสูงสุด ซึ่งสรรพคุณของว่านชักมดลูกที่มีบันทึกตามตำรับยาแผนโบราณเมื่อหลายร้อยปีก่อน ได้ระบุถึงผลการนำมาบำบัดอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายไว้ว่า


·  ช่วยกระชับช่องคลอดภายในสตรี

·  ทำให้มีอารมณ์ทางเพศสมบูรณ์

·  ดับกลิ่นปาก กลิ่นตัว กลิ่นภายในช่องคลอดให้ลดลงหรือหายไป

·  ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าขาวนวล และมีเลือดฝาด

·  ทำให้มดลูกต่ำและ อาการตกขาวดีขึ้น

·  ช่วยรักษาอาการหน่วงเสียวมดลูก หรือเจ็บท้องน้อยเป็นประจำได้ดี

·  ช่วยรักษาอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง

·  มีผลในการลดหน้าท้องที่หย่อนยาน ซึ่งเกิดจากการคลอดบุตร ทำให้หน้าท้องหดตัว และเล็กลง

·  เสริมสร้างทรวงอกให้เต่งตึง กระชับ ไม่เหี่ยวย่น หย่อนยาน


เนื่องจาก ว่านชักมดลูก มีส่วนในการช่วยขับน้ำดี จึงไม่ควรรับประทาน ในผู้ที่ท่อน้ำดีอุดตัน หรือมีนิ่วในถุงน้ำดี และพบว่า เนื่องจากมีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด แม้จะเป็นงานวิจัยในกระต่ายก็ตาม เพื่อความปลอดภัยสูงสุด จึงไม่ควรรับประทานร่วมกับยาต้านเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน และยาละลายลิ่มเลือด ทุกชนิด


 ติดต่อสอบถาม 085-9083178 วราพร


ดูข้อมูล  http://pannfitleadyx.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

มะเร็งรังไข่





 มะเร็งรังไข่ เป็นมะเร็งที่พบได้มากเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรีพบ ได้มากในช่วงอายุ 40-60 ปี ในเด็กก่อนหรือหลังวัย 10 ปี ก็อาจพบได้ เนื่องจากธรรมชาติของโรค โตและกระจายรวดเร็วในช่องท้อง สังเกตุได้ยากผู้ป่วยมักมาพบแพทย์เมื่อมีอาการมากแล้ว  เป็นมะเร็งที่พบบ่อยในหญิง แต่เป็นสาเหตุการตายเป็นอันดับแรก ของโรคมะเร็งของระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี ทั้งนี้ เนื่องจากธรรมชาติของโรคที่สามารถโต และกระจายได้อย่างรวดเร็วในช่องท้อง และเป็นตำแหน่งที่สังเกตได้ยาก ผู้ป่วยจึงมักมาพบแพทย์ในระยะที่เป็นมากแล้ว
สาเหตุ : ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบเหตุส่งเสริมที่ทำให้เกิดมะเร็งรังไข่ ดังนี้ คือ  
   
1. สภาพแวดล้อม เช่น สารเคมี อาหาร เนื่องจากพบว่าในประเทศ อุตสาหกรรมมีผู้ป่วยเป็น มะเร็งรังไข่มากกว่าประเทศเกษตรกรรม  
      
2. สตรีที่ไม่มีบุตร หรือมีบุตรน้อย  

3. ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งที่เต้านม มะเร็งมดลูก และมะเร็งระบบทางเดินอาหาร โอกาสเป็น มะเร็งรังไข่ มีมากกว่าคนปกติ

สาเหตุไม่ทราบแน่ชัด มักพบในหญิงไม่มีบุตร หรือมีบุตรน้อย เคยเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ รับประทานอาหารไขมันสูงเป็นประจำ เคยใช้ยากระตุ้นการทำงานของรังไข่เพื่อให้มีบุตร

อาการ      

1. อาจไม่มีอาการ แพทย์ตรวจพบโดยบังเอิญ  
      
2. มีอาการท้องอืดเป็นประจำ  
     
3. มีก้อนในท้องน้อย   

4. ปวด แน่นท้อง และถ้าก้อนมะเร็งโตมาก จะกดกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ส่วนปลาย ทำให้ถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระลำบาก    
    
5. ในระยะท้ายๆอาจมีน้ำในช่องท้องทำให้ท้องโต ขึ้นกว่าเดิม เบื่ออาหาร ผอมแห้ง น้ำหนักลด


ในระยะเริ่มแรกอาการไม่แน่นอน ปวดท้อง แน่นท้อง น้ำหนักลด เบื่ออาหาร คลำพบก้อนในท้อง หรือในอุ้งเชิงกราน เมื่อก้อนโตขึ้นกดเบียดกะเพาะปัสสาวะก็จะทำให้ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด ถ้าก้อนไปกดลำไส้ใหญ่ส่วนปลายทำให้ปวดถ่วงและถ่ายอุจจาระลำบาก เมื่อมีการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งในช่องท้องก็จะมีนำในท้อง ประจำเดือนผิดปกติ

 
1. การตรวจภายใน อาจคลำพบก้อนในบริเวณท้องน้อย การคลำพบก้อนรังไข่ได้ในสตรีวัยหมดประจำเดือน ควรนึกถึงมะเร็งของรังไข่ไว้ด้วย (เพราะตามปกติวัยหมดประจำเดือน รังไข่จะฝ่อ) 

2. การทำแพพสเมียร์จากในช่องคลอด ส่วนบนทางด้านหลัง อาจพบเซลล์มะเร็งของรังไข่ได้

3. การตรวจด้วยเครื่องความถี่สูงอาจช่วยบอกได้ว่ามีก้อนในท้อง ในรายที่อ้วนหรือหน้าท้องหนามาก คลำด้วยมือตามปกติตรวจไม่พบ  
     
4. การผ่าตัดเปิดช่องท้อง และตรวจดู เป็นวิธีที่สำคัญ และแม่นยำที่สุดในการวินิจฉัยโรคอย่างแน่นอน สามารถขลิบหรือตัดเอาเนื้อมาตรวจหาชนิดของมะเร็ง และทราบถึงระยะของโรคด้วย 

5. การวินิจฉัย การตรวจภายใน เอ็กซเรย์ หรือ ULTRASOUND หากพบก้อนที่น่าสงสัย ควรทำผ่าตัดทุกราย เพื่อนำก้อนเนื้อไปพิสูจน์ทางพยาธิวิทยา


การผ่าตัด เป็นวิธีแรกที่แพทย์จะเลือกทำการรักษา ถ้าไม่สามารถตัดออกได้หมด เนื่องจากโรคกระจายออกไปมากแล้ว แพทย์จะพยายามตัดออกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจะให้การรักษาต่อด้วยเคมีบำบัด หรือรังสีบำบัด
การรักษา โดยการผ่าตัดเป็นหลัก ปัจจุบันผลการรักษาอยู่ในเกณฑ์ดีแม้เป็นระยะลุกลามก็สามารถควบคุมโรคได้ระยะเวลานาน ผลการรักษาขึ้นกับระยะของโรค ดังนั้นการตรวจพบระยะแรกๆ เท่านั้น จึงจะรักษาให้หายได้ ข้อควรปฏิบัติ ตรวจภายในปีละครั้งหลังอายุ 40 ปี สังเกตุอาการผิดปกติ ความผิดปกติของประจำเดือน เช่น เริ่มขาดประจำเดือนก่อนวัยอันควร มีเลือดออกผิดปกติ ปวดท้องน้อยควรพบแพทย์ทันที


เนื่องจากมะเร็งรังไข่ในระยะแรกๆ มักจะไม่มีอาการ อีกทั้งยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง การป้องกันจึงทำได้ยาก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ รับการตรวจภายในหรือตรวจด้วยคลื่นความถี่สูง โดยแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง


1. ควรได้รับการตรวจภายในปีละครั้ง หลังอายุ 40 ปี   

    


2. หากมีความผิดปกติของประจำเดือน เช่น ขาดประจำเดือนก่อนวัยอันควร การมีเลือดออกผิดปกติ ปวดท้องน้อย หรือสงสัยมีก้อนบริเวณท้องน้อย ควรพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจภายใน


ติดต่อสอบถาม 085-9083178 วราพร


ดูข้อมูล  http://pannfitleadyx.blogspot.com